บทสัมภาษณ์โอยาบุ โยชิฮิโระ โปรดิวเซอร์ของสตูดิโอ BONES ผู้สร้าง “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” ถึงมุมมองความสนุกในสายตาของผู้ผลิตในหัวข้อ “ปัจจุบันและอนาคตของสตูดิโอแอนิเมชัน” (พาร์ทที่ 1)

บทสัมภาษณ์โอยาบุ โยชิฮิโระ โปรดิวเซอร์ของสตูดิโอ BONES ผู้สร้าง Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” ถึงมุมมองความสนุกในสายตาของผู้ผลิตในหัวข้อ ปัจจุบันและอนาคตของสตูดิโอแอนิเมชัน” (พาร์ทที่ 1)

ทุกปีมีผลงานในรูปแบบของหนังสือเกิดขึ้นมากมายและในปัจจุบันแอนิเมชันได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเป็นญี่ปุ่น นับตั้งแต่ทั่วโลกให้การยอมรับและขนานนามแอนิเมชันญี่ปุ่นว่าเป็น “Japanimation” ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว

ที่ญี่ปุ่นมีสตูดิโอแอนิเมชันชั้นนำของโลกอยู่เยอะจนน่าตกใจ ถ้าเป็นแฟนตัวยงของอนิเมะก็ไม่แปลกที่จะมีสตูดิโอที่ชื่นชอบและรู้จักอยู่หลายสตูดิโอ

ทีมงาน animate Times ได้ไปสัมภาษณ์เหล่าสตูดิโอแอนิเมชันชั้นนำของญี่ปุ่นเหล่านั้นเพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของผลงานและจุดเด่นของสตูดิโอ ในโปรเจกต์ใหม่หัวข้อ “ปัจจุบันและอนาคตของสตูดิโอแอนิเมชัน”

บทความในพาร์ทที่ 1 นี้จะสัมภาษณ์คุณโอยาบุ โยชิฮิโระ โปรดิวเซอร์ของสตูดิโอ BONES ผู้สร้างผลงานอย่าง “Fullmetal Alchemist (แขนกลคนแปรธาตุ)” “Eureka Seven (ยูเรก้า เซเว่น)” และ “Kekkai Sensen (สมรภูมิเขตป้องกันโลหิต)” โดยจะพูดคุยเกี่ยวกับผลงานเรื่อง “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)”

เสียงตอบรับจากญี่ปุ่นและต่างประเทศจะต่างกันอย่างไร? เชิญติดตามได้เลย


ประวัติคุณโอยาบุ โยชิฮิโระー


มีตำแหน่งเป็นโปรดิวเซอร์ของสตูดิโอ BONES และได้มีส่วนร่วมสร้างผลงานในเรื่อง “STAR DRIVER kagayaki no takuto (สตาร์ไดรเวอร์: เทพบุตรพิชิตดวงดาว)” เรื่อง “DARKER THAN BLACK (ผู้ทำสัญญาทมิฬ)” และเรื่อง “Concrete Revolutio” ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ของ “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)”


โปรดิวเซอร์คือผู้ที่เข้าใจหน้างานมากที่สุด


ทีมงาน : วันนี้ก็ฝากตัวด้วยนะคะ โปรดิวเซอร์โอยาบุ ปกติแล้วได้ช่วยทำหน้าที่อะไรในการสร้างอนิเมะ “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” บ้างคะ?

โอยาบุ : ขึ้นอยู่กับงานครับ สำหรับการสร้างผลงานต้นฉบับของ BONES โปรดิวเซอร์แต่ละคนจะเป็นตัวหลักในการวางแผนงานกับครีเอทีฟ ส่วนใหญ่จะสร้างผลงานตั้งแต่เริ่มนับหนึ่งเลยครับ

ส่วนเรื่อง “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” โปรดิวเซอร์จากสตูดิโอ TOHO animation ที่เคยร่วมงานกันติดต่อมาแนะนำว่า “เรื่องนี้เพิ่งออกขายแค่ 3 เดือน รู้จักไหมครับ?”

ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าน่าจะเป็นช่วงเล่มที่ 1 วางขายครับ พอตอบไปว่า “ผมก็ได้ซื้อจากร้านหนังสือมาอ่านเหมือนกันครับ” ก็กลายเป็นว่าเราตกลงกันทำอนิเมะ “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” ด้วยกันเลย

ส่วนเรื่องการเลือกทีมงาน เรื่องนี้ลงในนิตยสาร Shonen Jump ก่อนอื่นเลยผมคิดว่าอยากจะทำกับคุณนากาซากิ เคนจิซึ่งเป็นผู้กำกับ

เรื่องการออกแบบตัวละคร ผมคิดถึงอยู่แค่คนเดียวคือคุณอุมะโคชิ โยชิฮิโกะเพราะไสตล์งานของเขาเหมาะกับงานนี้มากที่สุด ผมลองขอร้องเขาดู ไม่รู้ว่าจะยอมตกลงรึเปล่า แต่เขาก็ยินดีที่จะร่วมงานด้วยครับ

หลังจากนั้นก็ไปนำเสนอรายชื่อทีมงานที่จะมาร่วมสร้างผลงานจาก BONES และ TOHO ที่สำนักพิมพ์ Shueisha ครับ

หลังจากกำหนดแล้วว่าจะทำเป็นอนิเมะ ผมก็มารู้ทีหลังว่าจริง ๆ แล้วอาจารย์โฮริโคชิ โคเฮซึ่งเป็นผู้แต่ง เป็นแฟนคลับตัวยงของคุณอุมะโคชิเลยละครับ ผมก็เลยคิดว่าเลือกทีมงานมาได้ถูกคนจริง ๆ

ทีมงาน : อย่างนี้นี่เอง โปรดิวเซอร์เป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการสร้างผลงานตั้งแต่ต้นเลยสินะคะ

โอยาบุ : ใช่ครับ งานของโปรดิวเซอร์คือการเลือกทีมงานตั้งแต่ต้นจนจบไปเรื่อย ๆ  ตั้งแต่ช่วงก่อนการผลิตไปจนถึงขั้นส่งผลงาน จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ไปดูทุกงานหรอกครับแต่ส่วนสำคัญก็จะต้องไปรับรู้ด้วย

ทีมงาน : เป็นตำแหน่งที่ดูทุกซอกทุกมุมของผลงานเลยสินะคะ

โอยาบุ : ใช่แล้วครับ บางคนอาจจะรู้รายละเอียดลึกกว่าผมแต่ถ้าดูจากภาพรวม ผมน่าจะรู้เยอะที่สุดครับ

ทีมงาน : การเลือกทีมงานเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถอยู่นะคะ ตอนไปนำเสนอได้รับความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ?

โอยาบุ : ส่วนใหญ่ก็บอกว่า “ถ้าเป็นทีมงานที่ BONES เลือกก็ไม่เป็นไร” ครับ ผมดีใจมากเลย ตั้งแต่ผมทำงานมาก็เจอแต่อาจารย์นักเขียนที่ใจดีทั้งนั้น โชคดีจริง ๆ ครับ

อาจารย์โฮริโคชิก็ชื่นชมภาพของคุณอุมะโคชิอย่างมาก ก่อนเริ่มทำมูฟวี่เรื่องแรก (“Boku no hero academia The Movie futari no heroes”) เราจัดประชุมซึ่งมีคุณนากาซากิเข้าร่วมด้วย ทั้งสองคนดูสนุกกันมาก ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้ร่วมงานกับอาจารย์โฮริโคชิและมีความสัมพันธ์ที่ดีมากต่อกันครับ


คาร์แรคเตอร์เดกุเปลี่ยนไปจากตอนแรก!?


ทีมงาน : หลังจากที่ “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” โด่งดัง มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างไหมคะ? แล้วมีปัญหาหรือความสนุกในการสร้างผลงานอะไรบ้างคะ?

โอยาบุ : ผมรู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่ได้ร่วมสร้างผลงานเรื่องยาวที่ออกฉายตอนเย็นทั่วประเทศอย่าง “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” ครับ  โดยเฉพาะเรื่อง “Fullmetal Alchemist (แขนกลคนแปรธาตุ)”  ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ผมได้ร่วมสร้างในฐานะผู้ผลิต ผมดีใจมาก ๆ ที่เสียงตอบรับดีและออกมาโด่งดัง ตอนนั้นยังไม่มีการใช้โซเชียลมีเดียเลยครับ แต่ปัจจุบันผมสามารถรับรู้ความคิดเห็นจากแฟน ๆ ได้โดยตรงทันที จึงคิดว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดมากเลยครับ

ที่ผ่านมาจากที่เห็นได้แค่ตัวเลขสถิติกลายเป็นว่ารู้สึกเหมือนเป็นความคิดเห็นที่อยู่รอบตัว ไม่ใช่แค่ในประเทศเท่านั้นแต่สามารถเชื่อมต่อความคิดเห็นของต่างประเทศได้ด้วย

อย่างตอนที่ทำมูฟวี่ภาคแรกก็จัดรอบปฐมทัศน์ที่ลอสแอนเจลิสด้วย

เนื้อเรื่องในมูฟวี่เป็นตอนที่ออลไมต์ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศพอดี ตอนแรกเราคิดว่าจะให้ไปเรียนที่สถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงในอเมริกาแต่พอได้ปรึกษากับทีมงานก็เลยกำหนดสถานที่เป็นลอสแอนเจลิสในแคลิฟอร์เนีย ตอนฉายในโรงพอถึงฉากที่ออลไมต์มาที่ลอสแอนเจลิสคนดูก็ฮือฮากันใหญ่เลยครับ

ความคลั่งไคล้ของแฟน ๆ ต่างประเทศมีสูงมาก บางคนก็พูดว่า “อนิเมะที่เราชอบได้ทำเป็นมูฟวี่แล้ว แถมเรายังได้ดูก่อนใครอีกด้วย!” ไม่ค่อยมีหรอกนะครับที่ผลงานจากต่างประเทศทำให้คนดูสนุกและคลั่งไคล้กันได้ขนาดนี้

ตอนนี้ผมมีความสุขกับการที่แฟน ๆ ทั้งในต่างประเทศและในญี่ปุ่นสามารถดูผลงานไปพร้อมกันได้แบบไร้ความต่างของเวลาครับ ส่วนเรื่องระบบงานของสตูดิโอ ถ้าผลงานมีชื่อเสียงขึ้นก็จะมีทีมงานอยากเข้ามาร่วมงานมากขึ้น ในฐานะคนทำงานในวงการอนิเมะในยุคนี้ผมรู้สึกขอบคุณในส่วนนั้นมาก

ทีมงาน : นั่นเป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ! ปฏิกิริยาจากทีมงานก็เปลี่ยนไปด้วยสินะคะ

โอยาบุ : ถ้าผลงานดังต่อให้ไม่ได้อธิบายรายละเอียดอะไร ส่วนใหญ่ก็จะรู้จักกันอยู่แล้วทำให้พูดคุยกันเข้าใจครับ ปกติถ้าเข้ามาช่วยงานกลางคันก็จะต้องอธิบายตั้งแต่ต้นแต่พอได้พูดคุยเข้าใจกันตั้งแต่ตอนแรกอย่าง “โทโดโรกิคุงต้องเป็นแบบนี้สินะ” หรือ “เดกุต้องเป็นแบบนั้นสินะ” ก็ทำให้การประชุมง่ายขึ้น ดีมาก ๆ เลยครับ

ทีมงาน : พอรวมเรื่องนั้นไปด้วย เวลาต้องทำงานใหญ่ ๆ แบบนี้มีเรื่องอื่นที่น่าหนักใจบ้างไหมคะ?

โอยาบุ : ตอนเริ่มวางแผนงาน “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” กับคุณนากาซากิ เราได้คิดและพูดคุยกันมาก่อนทำให้อาจารย์โฮริโคชิเตรียมเนื้อหาต้นฉบับไว้อย่างครบถ้วนและช่วยวางตารางเวลามาให้ด้วยครับ เพราะฉะนั้นแผนแรกก็คือทำตามแบบต้นฉบับให้คนดูไม่รู้สึกแปลก

มังงะกับอนิเมะมีวิธีการนำเสนอต่างกันจะทำให้เหมือนกันหมดก็คงไม่ได้ แน่นอนว่าฉากที่สำคัญในมังงะต้องทำออกมาให้เหมือนกันครับ แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องสร้างอนิเมะแบบที่ไม่ให้คนดูรู้สึกแปลกแม้จะตัดบางช่องของมังงะออกไป

ในมังงะสามารถทำช่องขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ของทั้ง 2 หน้าได้หรือทำช่องซ้อนกันเพื่อให้ช่องสุดท้ายดูน่าสนใจ แถมยังข้ามเวลาบางช่วงได้ แต่ถ้าเป็นอนิเมะเวลาจะต้องดำเนินไปเรื่อย ๆ กลับไปกลับมาไม่ได้ครับ

พอรวมกันทั้งหมดก็จะต้องแก้ไข บางครั้งก็จะต้องแก้ท่าทางตัวละครหรือปรับบทพูดด้วยเพื่อไม่ให้คนดูที่อ่านมังงะมาแล้วรู้สึกแปลกครับ

ตอนผมกับคุณนากาซากิไปพบกับอาจารย์โฮริโคชิครั้งแรกก็พูดคุยกันให้เข้าใจว่าอนิเมะเป็นสื่อที่ต่างจากมังงะและมีวิธีการนำเสนองานต่างกัน อาจารย์ก็พูดเลยว่าไม่อยากให้ทำตามช่องแบบมังงะ

ถึงแม้ว่าจะดีใจแต่นั่นก็เป็นงานยากเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ) จากนั้นผมก็สร้างผลงานโดยให้ความสำคัญกับคำพูดนั้นตลอดเลยครับ

ทีมงาน : กลายเป็นว่าแม้จะทำ “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)”  แต่ก็ต้องทำให้ต่างกับ “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” อีกสินะคะ

โอยาบุ : ใช่เลยครับ ทำ “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” ในแบบฉบับของอนิเมะ

ทีมงาน : จากที่ได้พูดถึงเมื่อกี้ อยากรู้เกี่ยวกับเบื้องหลังการสร้างผลงานเรื่องยาวอย่าง “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” อีกสักเล็กน้อยค่ะ

โอยาบุ : จริง ๆ แล้วเรามีการอัพเดตข้อมูลตัวละครและในภาคที่ 5 มีการเปลี่ยนวิธีวาดเดกุอย่างมากเลยครับ ก่อนหน้านี้ก็มีการเปลี่ยนเล็กน้อยมาเรื่อย ๆ ในช่วงภาคที่ 1 และ 2 จากเดกุที่เป็นคนธรรมดาก็ฝึกฝนร่างกายจนทำให้ตัวใหญ่ขึ้น ในตอนที่ 5 ก็เปลี่ยนไปหนึ่งรอบครับ

พอเข้ามาเรียนที่โรงเรียนยูเอก็ผ่านการฝึกมาหนึ่งปีแล้ว ร่างกายก็จะต่างไปจากเดิมอีก ตรงส่วนนี้คุณอุมะโคชิเป็นคนเปลี่ยนตอนช่วงตรวจงานครับ

พอภาค 2 ก็เพิ่มกล้ามเนื้อเข้าไปเล็กน้อย เราใช้เวลาในการอัพเดตข้อมูลตัวละครนานเพราะต้องตรวจสอบทุกตัวละครโดยดูจากส่วนที่คุณอุมะโคชิแก้มาให้ เราทำผลงานมาจนถึงภาคที่ 5 ซึ่งเป็นภาคที่ข้อมูลตัวละครที่คุณอุมะโคชิทำมาให้ต่างจากตอนแรกมากที่สุดครับ

นอกจากนี้ฝีมือการวาดตัวละครของอาจารย์โฮริโคชิก็พัฒนาขึ้นมาก จากที่เมื่อก่อนทีมงานเคยงงว่าควรจะวาดตามเส้นไหนดี (หัวเราะ)

แต่พอทำมาได้ 3-4 ปี ต่อให้ไม่ต้องดูข้อมูลตัวละครผู้กำกับภาพก็สามารถวาดเองได้ แถมทีมงานแต่ละคนก็มีวิธีการวาดตัวละครในแบบของตัวเอง ผมคิดว่าดีมากเลยครับ

ไม่ใช่แค่ชุดฮีโร่เท่านั้นแต่สีหน้าหรือกล้ามเนื้อก็เปลี่ยนไปด้วย อยากให้สังเกตกันดูนะครับ

ทีมงาน : ทำผลงานมานานขนาดนี้ ทีมงานก็วาดได้ไม่จำเป็นต้องดูข้อมูลตัวละครสินะคะ

โอยาบุ : ใช่ครับ แต่พอเริ่มวาดจนชินมือแบบชุดฮีโร่ก็เปลี่ยนไปอีก (หัวเราะ) บางครั้งก็ได้ยินคนหน้างานร้องตกใจด้วยว่า “เปลี่ยนตรงนี้เหรอ!?”

อาจจะดูเป็นการโฆษณาแต่ตอนนี้ BONES ออกหนังสือรวมผลงานมาแล้ว ยังไงก็ลองไปดูนะครับว่าเดกุในภาค 1 กับภาค 2 เปลี่ยนไปยังไงบ้าง

ทีมงาน : โดยส่วนตัวคิดว่าเสน่ห์ของเรื่อง “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” คืออะไรคะ?

โอยาบุ : …จะว่ายังไงดีนะ ให้พูดง่าย ๆ เลยคือเป็นผลงานที่เป็นสไตล์ Shonen Jump ครับ โดยรวมคือ ไม่ได้โฟกัสแค่เดกุแต่มันเป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรเลยที่พยายามพัฒนาตนเองไปพร้อมกับเพื่อนทำให้ได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่และบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ไปเรื่อย ๆ ครับ

ข้อดีของ “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” คือเป็นเรื่องยาวทำให้ได้วาดการเจริญเติบโตของตัวละครอื่นนอกจากเดกุได้ ตัวละครแต่ละคนก็มีวิธีเข้าใจความหมายของคำว่า “ฮีโร่” หลากหลายต่างกันไป ที่ตรงไปตรงมามากที่สุดคือเดกุ ส่วนบาคุโกจะคิดต่างออกไปครับ

ทำไมถึงอยากเป็นฮีโร่ ทำยังไงถึงจะได้เป็นฮีโร่ การคิดเรื่องพวกนั้นแบบไม่หยุดและพยายามต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้ได้รู้สึกถึงความเป็นวัยรุ่นเลยครับ

ทีมงาน : แสดงความหลากหลายของฮีโร่ออกมาได้ดีมากเลยค่ะ

โอยาบุ : ใช่ครับ พอเข้าภาคที่ 5 จะไม่ได้มีแค่นักเรียนห้อง 1-A เท่านั้นแต่จะมีนักเรียนห้อง 1-B ออกมาด้วยครับ ตัวละครอย่างโมโนมะ เนโตะน่ะ สุดยอดเลยนะครับ โมโนมะรู้ตัวดีว่าลำพังความสามารถที่ตัวเองมีนั้นไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวเอกได้จึงสร้างภาพของฮีโร่ในแบบของตัวเองซึ่งยอดเยี่ยมไปเลยครับ

เพราะฉะนั้นใน  “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” จะไม่มีตัวละครไหนที่ตกหล่นไปครับ ทุกคนมีจุดที่มีเสน่ห์อยู่

ในครึ่งแรกของภาคที่ 5 จะเริ่มเห็นได้ว่าเด็กห้อง 1-B เป็นตัวหลักครับ สามารถมุ่งความสนใจไปที่การเติบโตของตัวละครแค่คนเดียวหรือดูตัวละครที่อยู่รอบ ๆ เติบโตขึ้นได้ การที่เติบโตเพราะมีเพื่อนอยู่เคียงข้างทำให้สมกับที่เป็นมังงะของ Shonen Jump ความสนุกก็มีไม่ขาด เป็นส่วนที่สุดยอดเลยครับ


ผลงานต้นฉบับของ BONES


ทีมงาน : คิดว่างานของโปรดิวเซอร์คงจะมีหลากหลายแต่สำหรับคุณโอยาบุแล้ว อะไรเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างอนิเมะคะ?

โอยาบุ : จริง ๆ แล้วโปรดิวเซอร์ไม่ได้จำเป็นต้องมีความสามารถดีเลิศหรอกครับ ถ้าสามารถทำงานไปเรื่อย ๆ กับคนที่หลากหลายและฟังสิ่งที่คนหลายคนพูดได้ก็จะเป็นโปรดิวเซอร์ที่ดีได้ครับ

ผมวาดรูปก็ไม่ได้ แต่งเรื่องก็ไม่ได้ แถมร้องเพลงก็ไม่เป็น แต่เข้าใจว่ามีคนที่สามารถทำงานนั้น ๆ ได้และตั้งใจฟังเสียงของพวกเขา ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เป็นโปรดิวเซอร์ที่ดีได้ครับ

ทีมงาน : เป็นเหมือนศูนย์กลางของคนหลาย ๆ คนสินะคะ

โอยาบุ : ใช่ครับ ความคิดเห็นที่ลงตัวสำหรับทุกคนอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไปจึงต้องเลือกความเห็นที่ดีที่สุดให้ได้ ต้องคุยกับคนที่มีอายุมากกว่าแบบเท่าเทียมกันด้วยครับ แน่นอนว่าได้มีโอกาสคุยกับคนรุ่นเดียวกันแล้วก็คนอายุ 20 ด้วยครับ ผมสนุกมากเลยที่ได้คุยกับคนที่เป็นอัจฉริยะในรุ่นนั้น บางทีก็เจอว่าเขาวาดได้ดีขนาดนั้นมาตั้งแต่แรกหรือบางทีก็มารู้ว่าเป็นคนต่างชาติด้วยครับ การที่ได้ทำงานกับคนที่มีนิสัยและอายุหลากหลายก็สนุกดีนะครับ ผมสนุกที่ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากพวกเขา

ทีมงาน : มีแผนอะไรในครั้งหน้าที่ “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” ไปเปิดตลาดต่างประเทศบ้างไหมคะ?

โอยาบุ : ผมคิดว่าน่าจะดีถ้าได้ทำตอนที่เน้นสำหรับแฟน ๆ ต่างประเทศเป็นหลัก ผมอยากทำตอนพิเศษแบบสมัยก่อนหรือพวกเรื่องสั้นที่ออกวางขายที่ต่างประเทศก่อนบ้าง ผมเคยคุยกับผู้ผลิตที่อยู่ต่างประเทศดูก็พบว่าออลไมต์ดังในต่างประเทศมากกว่าในญี่ปุ่นครับ คิดว่าสำหรับแฟน ๆ ต่างประเทศ ภาพของฮีโร่ไม่ใช่เด็ก ๆ อย่างเดกุและบาคุโก แต่เป็นฮีโร่ที่เป็นผู้ใหญ่อย่างออลไมต์ครับ

นอกจากนี้ยังมีแฟนคลับต่างประเทศที่คลั่งไคล้ตัวละครโทกะ ฮิมิโกะอยู่เยอะ มีการสนับสนุนพวก “วายร้าย” ซึ่งต่างกับญี่ปุ่นครับ มีความเป็นไปได้ที่จะสนองความต้องการของแฟนคลับต่างประเทศที่ต่างไปจากแฟนคลับญี่ปุ่น ผมจึงอยากจะวางแผนด้วยกันกับทีมครับ

ทีมงาน : เรื่องของออลไมต์ก็น่าสนใจมากเลยค่ะ

โอยาบุ : จำนวนสินค้าของออลไมต์ในต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกาต่างกับญี่ปุ่นมากเลยครับ ตลาดต่างประเทศมีขนาดใหญ่ ผมอยากลองทำอะไรให้แฟน ๆ ต่างประเทศมีความสุขดูบ้างครับ

ทีมงาน : สุดท้ายนี้ อยากให้พูดถึงเรื่องที่ BONES อยากลองท้าทายทำต่อจากนี้ดูค่ะ

โอยาบุ : จุดแข็งของสตูดิโอ BONES คือ เป็นสตูดิโอที่มีความสุขไปกับการช่วยกันสร้างผลงานด้วยกัน ทีมงานจะร่วมมือกันสร้างผลงานต้นฉบับขึ้นมาและในทุก ๆ วันจะคิดว่าจะสามารถเผยแพร่และส่งต่อผลงานเหล่านั้นไปให้คนดูได้อย่างไรบ้างครับ อาจจะใช้เวลาหลายปีในการประกาศออกอนิเมะต้นฉบับสักเรื่อง ในยุคนี้เราก็ยังอยากท้าทายโดยการออกอนิเมะที่เป็นแบบฉบับของเราเองนะครับ

แน่นอนว่าต่อจากนี้เราก็อยากพัฒนาฝีมือในการผลิตอนิเมะที่มีมังงะต้นฉบับเป็นของตัวเองอย่าง “Boku no hero academia (มายฮีโร่ อคาเดเมีย)” ต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย โปรดติดตามผลงานของพวกเราด้วยนะครับ

[ผู้สัมภาษณ์ : อิชิบาชิ ฮารุกะ / ถ่ายภาพ : MoA]

▼ที่ห้องประชุมของ Bones จะมีภาพวาดผลงานของพวกเขาจนถึงปัจจุบันอยู่ด้วย

บทความต้นฉบับ: https://www.animatetimes.com/news/details.php?id=1619596716